Browse By

จอร์ดี้ อัลบา ยืนยันว่าจะแขวนสตั๊ดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลปัจจุบัน

เมื่อพูดถึงชื่อของ จอร์ดี้ อัลบา แฟนฟุตบอลทั่วโลกต่างรู้จักเขาในฐานะหนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของยุคสมัย ไม่ว่าจะด้วยความเร็ว การอ่านเกมที่เฉียบแหลม หรือการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมในเกมรุกอย่างลงตัว ล่าสุด เขาได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า จะ แขวนสตั๊ดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลปัจจุบัน ปิดฉากเส้นทางลูกหนังที่ยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยเกียรติยศ ความสำเร็จ และเรื่องราวที่ตราตรึงในหัวใจของแฟนบอลทั่วโลก ข่าวการตัดสินใจของอัลบาสร้างความสะเทือนใจให้กับวงการฟุตบอลสเปนและแฟนบอลบาร์เซโลนาโดยเฉพาะ เพราะเขาเป็นหนึ่งใน “ลูกหม้อ” ของสโมสรที่เติบโตขึ้นมาจากระบบเยาวชน “ลา มาเซีย” ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมในยุคทองภายใต้การคุมทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา และต่อเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย อัลบาไม่เพียงเป็นนักเตะที่สร้างชื่อให้กับสโมสร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความภักดีและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยลดลง เขาเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับบาเลนเซียในปี 2009 หลังจากถูกบาร์เซโลนาปล่อยออกจากอะคาเดมีในวัยเด็กเพราะรูปร่างเล็กเกินไป แต่ด้วยความมานะและความทุ่มเท เขากลับมาพิสูจน์ตัวเองในระดับอาชีพ จนกระทั่งปี 2012 บาร์เซโลนาได้ซื้อตัวเขากลับมาร่วมทีมอีกครั้งด้วยค่าตัวเพียง 14 ล้านยูโร ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในดีลที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เพราะตลอดเวลากว่าทศวรรษที่อยู่กับทีม อัลบาคือกำลังสำคัญที่ช่วยให้บาร์เซโลนาครองความยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศและในยุโรป ในเส้นทางกับทีมเจ้าบุญทุ่ม เขาลงเล่นไปมากกว่า 450 นัด

มูรินโญ่ เห็นใจ บรูโน่ ลาช หลังโดนปลดจากตำแหน่งไป

โชเซ่ มูรินโญ่ ชื่อที่คอบอลทั่วโลกคุ้นเคยกันดีในฐานะกุนซือระดับตำนาน กลับมาสร้างความคึกคักให้วงการลูกหนังโปรตุเกสอีกครั้ง หลังจากรับงานคุมทีม เบนฟิก้า อย่างเป็นทางการ การย้ายกลับมาสู่บ้านเกิดของเขาไม่ใช่เพียงเรื่องของอาชีพ แต่ยังเป็นเรื่องของความผูกพันและความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับเส้นทางฟุตบอลที่เขาเริ่มต้นไว้นานแล้ว การเข้ามาของมูรินโญ่ถูกจับตามองอย่างมาก ไม่เพียงเพราะชื่อเสียงในอดีตกับการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สองสมัย หรือการพาเชลซี, อินเตอร์ มิลาน และเรอัล มาดริด สร้างยุคทอง แต่ยังเพราะว่าแฟนบอลเบนฟิก้าเชื่อว่า “เดอะ สเปเชียล วัน” จะเป็นคนที่พาทีมกลับไปยืนในจุดสูงสุดทั้งในลีกและเวทียุโรปอีกครั้ง หลังจากที่ทีมต้องพบกับความผิดหวังต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บรรยากาศวันเปิดตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แฟนบอลหลายหมื่นคนแห่กันมาต้อนรับในสนามเอสตาดิโอ ดา ลุซ เสียงโห่ร้อง “มูรินโญ่” ก้องกังวานไปทั่วอัฒจันทร์ มันสะท้อนถึงความหวัง ความฝัน และพลังศรัทธาที่ถูกฝากไว้บนบ่าของกุนซือวัย 62 ปีรายนี้ อย่างไรก็ตาม การมาของมูรินโญ่ก็เป็นเหมือนการเปิดฉากบทใหม่ที่มาพร้อมการปิดฉากอีกบทหนึ่ง ซึ่งก็คือการจากไปของ บรูโน่ ลาช อดีตกุนซือผู้พาทีมผ่านช่วงเวลาที่ทั้งสวยงามและยากลำบาก โดยมูรินโญ่เองได้แสดงความเห็นใจอย่างเปิดเผยต่อเพื่อนร่วมอาชีพทันทีในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง

สื่อแสดงความเห็นใจ ฮอยลุนด์ หลังกลายเป็นนักเตะล่องหน

เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้เปิดบ้านเอาชนะนาโปลี 2-0 ได้อย่างเหนือชั้น เกมนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงพลังอันแข็งแกร่งของทีมแชมป์เก่า สำหรับ ราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติเดนมาร์กของนาโปลี ที่ถูกจับตามองว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของทีมได้หรือไม่ ทว่าผลงานกลับตรงกันข้าม เมื่อเขาแทบไม่สามารถสร้างอิทธิพลใด ๆ ให้กับเกมจนถูกสื่ออิตาลีวิจารณ์ว่าเป็น “นักเตะล่องหน” สื่อแดนมะกะโรนีหลายสำนักกลับไม่ได้โจมตีเขาอย่างรุนแรง แต่เลือกที่จะ แสดงความเห็นใจ เพราะเข้าใจถึงความกดดันมหาศาลที่เจ้าตัวต้องเผชิญ ทั้งจากความคาดหวังของแฟนบอล การเจอกับกองหลังระดับโลกของแมนฯ ซิตี้ และระบบการเล่นของทีมที่ยังไม่เข้าที่นัก 2. ราสมุส ฮอยลุนด์: ความหวังใหม่ที่ยังต้องเรียนรู้ ฮอยลุนด์ถูกมองว่าเป็นกองหน้าที่มีอนาคตไกล เขาย้ายมาจากอตาลันต้าและสร้างชื่อในกัลโช่ เซเรีย อา ด้วยสไตล์การเล่นที่ผสมผสานระหว่างความเร็ว ความแข็งแกร่ง และสัญชาตญาณการจบสกอร์ แม้จะเพิ่งมีอายุเพียง 21 ปี แต่เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่าจับตามองที่สุดในยุโรป อย่างไรก็ตาม การเล่นในเกมใหญ่ระดับแชมเปี้ยนส์ ลีก คือบททดสอบที่โหดหินกว่าลีกในประเทศหลายเท่า เกมที่เจอกับแมนฯ ซิตี้แสดงให้เห็นว่า ฮอยลุนด์ยังต้องพัฒนาหลายด้าน

แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดศึกบิ๊กทีมยุโรป แย่งคว้า ดูซาน วลาโฮวิช

ตลาดซื้อขายนักเตะกำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งในประเด็นใหญ่ที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามองคือการแย่งชิงลายเซ็นของ ดูซาน วลาโฮวิช กองหน้าตัวเป้าทีมชาติเซอร์เบีย ที่กำลังค้าแข้งกับยูเวนตุสในกัลโช่ เซเรีย อา ล่าสุดมีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมเปิดศึกกับบรรดายักษ์ใหญ่แห่งสเปนทั้ง เรอัล มาดริด, แอตเลติโก มาดริด และบาร์เซโลน่า เพื่อคว้าตัวหัวหอกรายนี้ การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายธรรมดา แต่สะท้อนถึงคุณค่าของวลาโฮวิชในฐานะกองหน้าระดับโลกวัยเพียง 24 ปี ที่ยังมีอนาคตยาวไกลและศักยภาพสูง การที่หลายสโมสรระดับท็อปสนใจแสดงให้เห็นว่าเขาอาจเป็นหนึ่งใน “จิ๊กซอว์” สำคัญที่จะยกระดับทีมใดทีมหนึ่งสู่ความสำเร็จในฤดูกาลหน้า 2. โปรไฟล์ของดูซาน วลาโฮวิช: กองหน้าดาวรุ่งพุ่งแรง วลาโฮวิชแจ้งเกิดในเวทียุโรปจากการเล่นให้ฟิออเรนติน่า ก่อนถูกยูเวนตุสดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2022 ด้วยค่าตัวมหาศาล ผลงานการยิงประตูของเขาในกัลโช่ เซเรีย อา ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ถูกจับตามองมากที่สุด จุดเด่นของวลาโฮวิชคือ ความแข็งแกร่ง, การจบสกอร์ที่เฉียบคม และการยืนตำแหน่งที่ชาญฉลาด ด้วยส่วนสูงเกือบ 190

อัลนาสเซอร์ เล็งคว้ากาเซมีโร่ร่วมงานโด้

ตลาดซื้อขายนักเตะยังคงเต็มไปด้วยกระแสที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกจับตามอง หนึ่งในข่าวใหญ่ล่าสุดคือการที่ อัลนาสเซอร์ สโมสรดังจากซาอุดีอาระเบีย กำลังเล็งคว้าตัว คาเซมีโร่ มิดฟิลด์พันธุ์แกร่งชาวบราซิล มาร่วมงานกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ อดีตเพื่อนร่วมทีมเรอัล มาดริด ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความตื่นเต้นทันที เนื่องจากมันหมายถึงการกลับมารวมตัวกันของสองนักเตะที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันในยุคทองของ “ราชันชุดขาว” ข่าวลือนี้เริ่มต้นจากสื่อหลายสำนักในยุโรปที่รายงานตรงกันว่า อัลนาสเซอร์พร้อมทุ่มงบมหาศาลเพื่อดึงตัวกองกลางตัวรับที่ยังคงเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการยอมรับว่าเล่นตำแหน่งนี้ได้ดีที่สุดในโลก หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง ไม่เพียงแต่จะเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญของสโมสรซาอุฯ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าฟุตบอลตะวันออกกลางกำลังเร่งยกระดับสู่เวทีโลก 2. คาเซมีโร่: กองกลางพันธุ์แกร่งที่ทุกทีมต้องการ คาเซมีโร่คือนักเตะที่สร้างชื่อเสียงจากการเล่นให้กับเรอัล มาดริด โดยเขาเป็นกำลังหลักของทีมในยุคที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้ต่อเนื่อง การอ่านเกม การเข้าสกัดที่เฉียบขาด และความสามารถในการคุมแดนกลางทำให้เขาได้รับฉายาว่า “กำแพงเหล็ก” ของทีม ทุกครั้งที่คู่แข่งพยายามโจมตีตรงกลางสนาม พวกเขามักต้องเจอกับความแข็งแกร่งและความดุดันของมิดฟิลด์รายนี้ แม้ปัจจุบันเขาย้ายไปเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ฟอร์มการเล่นยังคงแสดงถึงความเป็นผู้นำ คาเซมีโร่ไม่เพียงเป็นนักเตะที่ทำลายเกมคู่แข่ง แต่ยังมีบทบาทในการเริ่มต้นเกมรุกด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำ ประสบการณ์ในเวทียุโรปทำให้เขามีคุณค่ามหาศาลต่อทีมใดก็ตามที่ได้ตัวไปร่วมงาน การที่อัลนาสเซอร์แสดงความสนใจจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่คือผู้เล่นที่จะยกระดับเกมรับและสร้างความมั่นใจให้กับทีมได้ทันที 3. การกลับมารวมตัวกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษคือความเป็นไปได้ที่คาเซมีโร่จะได้กลับมาร่วมงานกับคริสเตียโน่

แรชฟอร์ด สุดปลื้มหลังยิง 2 ประตูให้บาร์เซโลน่าบุกชนะนิวคาสเซิ่ล

ค่ำคืนที่สนามเซนต์ เจมส์ พาร์ค กลายเป็นเวทีที่มาร์คัส แรชฟอร์ด ประกาศศักดาในสีเสื้อบาร์เซโลน่าอย่างเต็มตัว เมื่อเขาทำคนเดียวสองประตูช่วยให้ทีมบุกมาเก็บชัยชนะเหนือเจ้าถิ่นนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-1 ผลงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความดีใจให้กับแฟนบอลบาร์ซ่าที่เฝ้าติดตาม แต่ยังเป็นการยืนยันว่าแรชฟอร์ดเลือกเส้นทางใหม่ได้ถูกต้อง การย้ายออกจากพรีเมียร์ลีกที่คุ้นเคยมาสู่ลาลีกาเต็มไปด้วยแรงกดดันและคำถามมากมาย ทว่าการโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงในเกมใหญ่แบบนี้คือการตอบแทนทุกความไว้วางใจ สำหรับแรชฟอร์ด นี่คือการปลดล็อกความมั่นใจหลังจากช่วงเวลาที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในอังกฤษ ความสุขที่ได้ยิงประตูสำคัญในเวทียุโรปกับทีมใหม่จึงทำให้เขาเปิดใจยอมรับว่า “ผมปลื้มและภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตค้าแข้ง” เกมนี้จึงไม่ใช่เพียงสามแต้มธรรมดา แต่คือจุดเปลี่ยนที่อาจพลิกเส้นทางอาชีพของกองหน้าชาวอังกฤษไปอีกขั้น 2. สองประตูที่เปลี่ยนผลการแข่งขัน การยิงสองประตูในเกมเดียวของแรชฟอร์ดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากความพยายามและสัญชาตญาณการจบสกอร์ที่เฉียบคม ประตูแรกเกิดขึ้นจากการวิ่งสอดไปในพื้นที่ว่าง ใช้ความเร็วและความแข็งแกร่งเอาชนะกองหลัง ก่อนซัดบอลผ่านมือนายทวารเจ้าถิ่นอย่างเฉียบขาด เสียงเชียร์ของแฟนบอลเจ้าบ้านถึงกับเงียบลงทันที ประตูที่สองเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่เกมกำลังตึงเครียด แรชฟอร์ดใช้การเคลื่อนที่อันชาญฉลาดตัดเข้าไปในเขตโทษ และจบสกอร์ด้วยความเยือกเย็น พาทีมขึ้นนำ 2-1 ก่อนจะรักษาผลการแข่งขันได้จนจบเกม การยิงสองประตูครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนผลการแข่งขัน แต่ยังทำให้บาร์เซโลน่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมหาศาล ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำว่ากองหน้าคนนี้พร้อมแล้วสำหรับบทบาทคีย์แมนของทีม 3. ความรู้สึกและการให้สัมภาษณ์หลังเกม หลังเกม แรชฟอร์ดเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจซ่อนความดีใจได้ เขากล่าวกับสื่อว่า “นี่คือค่ำคืนที่พิเศษที่สุดเกมหนึ่งในชีวิต ผมมีความสุขที่ช่วยทีมได้และหวังว่าจะทำให้แฟนบอลภูมิใจ” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกดดันที่เขาต้องเผชิญก่อนหน้านี้ และการได้พิสูจน์ตัวเองในเกมใหญ่คือการยกน้ำหนักก้อนใหญ่ที่แบกไว้บนบ่าลงไปในทันที

โฟเด้นยกย่อง ฮาแลนด์ นักทำลายสถิติ

ค่ำคืนที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เต็มไปด้วยเสียงเชียร์กึกก้องจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเออร์ลิง ฮาแลนด์ ยังคงทำในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด นั่นคือการยิงประตูอย่างต่อเนื่อง และสร้างสถิติใหม่ที่ทำให้โลกฟุตบอลต้องหันมาจับตา ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้รับการพูดถึงแค่ในหน้าสื่อ แต่ยังมาจากคำยกย่องของฟิล โฟเด้น เพื่อนร่วมทีมและเพื่อนสนิทในห้องแต่งตัว ที่ออกมายืนยันว่า “ฮาแลนด์คือนักทำลายสถิติที่แท้จริง” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของดาวยิงนอร์เวย์ที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานแต่สามารถสร้างชื่อเสียงได้อย่างรวดเร็ว การที่เพื่อนร่วมทีมอย่างโฟเด้นพูดถึงเขาในเชิงชื่นชมไม่ใช่แค่การให้กำลังใจ แต่เป็นการยอมรับในฝีเท้าที่หาตัวจับได้ยากของนักเตะคนนี้ ฮาแลนด์ไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นที่ยิงประตูมากมาย แต่เขายังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นของทีมให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น ความเฉียบคมในการจบสกอร์ทำให้คู่แข่งไม่สามารถประมาทได้แม้เพียงเสี้ยววินาที การยิงประตูต่อเนื่องจนสร้างสถิติใหม่จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นและพรสวรรค์อันมหาศาล 2. ฟิล โฟเด้นกับความสัมพันธ์ในสนามและนอกสนาม โฟเด้นและฮาแลนด์ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมทีม แต่ยังมีสายสัมพันธ์พิเศษที่ทำให้ทั้งคู่เข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้ง ในสนาม โฟเด้นมักเป็นคนที่ปั้นเกมหรือส่งบอลให้ฮาแลนด์เข้าทำประตู ความเข้าใจที่แทบไม่ต้องใช้คำพูดทำให้พวกเขากลายเป็นคู่หูที่อันตรายที่สุดคู่หนึ่งในพรีเมียร์ลีก นอกสนาม ทั้งคู่ยังสนิทกันในระดับเพื่อนสนิท โฟเด้นมักโพสต์ภาพและคลิปที่แสดงถึงความเป็นกันเองของเขากับฮาแลนด์บนโซเชียลมีเดีย ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มบรรยากาศในห้องแต่งตัว แต่ยังทำให้เกมการเล่นมีความไหลลื่นมากขึ้น การที่โฟเด้นออกมายกย่องเพื่อนร่วมทีมอย่างเปิดเผยจึงเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาคือกำลังสำคัญในการพาแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดินหน้าล่าความสำเร็จ การเล่นเคียงข้างฮาแลนด์ยังทำให้โฟเด้นได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอลในอีกมิติหนึ่ง เขายอมรับว่าการเห็นฮาแลนด์ซ้อมและมีวินัยทำให้เขาเองอยากพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ บทเรียนเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้นักเตะหนุ่มอังกฤษคนนี้ก้าวสู่ความเป็นผู้เล่นระดับแถวหน้าในยุคปัจจุบัน 3. ฮาแลนด์: นักทำลายสถิติแห่งยุคสมัย

นาโปลี ทีมแห่งหัวใจเมืองเนเปิลส์และตำนานที่ไม่มีวันตาย

ในโลกฟุตบอลอิตาลี หากพูดถึงทีมที่สะท้อนถึง ความหลงใหล ศรัทธา และพลังของผู้คนในเมือง ไม่มีใครแทนที่ สโมสร นาโปลี (SSC Napoli) ได้ ทีมจากเมืองเนเปิลส์แห่งแคว้นกัมปาเนีย ไม่เพียงเป็นตัวแทนของสโมสรฟุตบอล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ ทุกชัยชนะคือความสุขของทั้งเมือง และทุกความพ่ายแพ้คือบาดแผลร่วมกัน จุดกำเนิดของนาโปลี นาโปลีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1926 จากการรวมทีมฟุตบอลท้องถิ่น เมืองเนเปิลส์ในตอนนั้นถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรมของอิตาลีตอนใต้ การมีสโมสรฟุตบอลที่เข้มแข็งจึงกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมือง แม้ในช่วงแรกนาโปลียังไม่ประสบความสำเร็จเท่าทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส มิลาน หรืออินเตอร์ แต่ความรักของแฟนบอลกลับเหนียวแน่นไม่แพ้ใคร สนามเหย้า ซาน เปาโล (ปัจจุบันคือ สตาดิโอ ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดนา) คือหัวใจของเมือง และเป็นสถานที่ที่รวมพลังของคนทั้งเนเปิลส์ ยุคทองแห่งมาราโดนา ประวัติศาสตร์ของนาโปลีเปลี่ยนไปตลอดกาลในปี 1984 เมื่อทีมคว้าตัว ดีเอโก้ มาราโดนา (Diego

แชมป์เซเรียอา เกียรติยศสูงสุดแห่งลีกฟุตบอลอิตาลี

ฟุตบอลอิตาลีคือหนึ่งในวัฒนธรรมกีฬาที่เก่าแก่และเข้มข้นที่สุดในโลก และเซเรียอา คือลีกสูงสุดที่สะท้อนถึงความภาคภูมิใจ ตำแหน่ง “แชมป์เซเรียอา” ไม่ได้เป็นเพียงการครองถ้วยรางวัล แต่ยังหมายถึงเกียรติยศ ประวัติศาสตร์ และการถูกจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังอิตาลี จุดกำเนิดของเซเรียอา ลีกฟุตบอลอิตาลีเริ่มแข่งขันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 แต่ในตอนนั้นยังเป็นการแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ จนกระทั่งปี 1929 เซเรียอาในรูปแบบ “ลีกแบบพบกันหมด” จึงถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ทีมที่คว้าแชมป์เซเรียอายุคแรกคือ อัมโบรเซีย (Ambrosiana) ซึ่งต่อมากลายเป็น อินเตอร์ มิลาน ตั้งแต่นั้นมา เซเรียอากลายเป็นหนึ่งในลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก โดยมีชื่อเสียงในด้าน แท็กติกการป้องกัน หรือที่รู้จักกันว่า คาเตนัชโช (Catenaccio) แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างกองหน้าระดับตำนานมากมาย ความหมายของตำแหน่งแชมป์ การเป็นแชมป์เซเรียอาไม่ใช่เรื่องง่าย ลีกนี้เต็มไปด้วยสโมสรระดับยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, นาโปลี, โรม่า, ลาซิโอ การแข่งขันเต็มไปด้วยความเข้มข้นและดราม่า

เอซี มิลาน รอสโซเนรี ผู้ปลุกตำนานแห่งซานซิโร

ในโลกของฟุตบอลอิตาลีและยุโรป หากพูดถึงทีมที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ ความสำเร็จ และเอกลักษณ์ที่แฟนบอลทั่วโลกจดจำได้ทันที ชื่อของ เอซี มิลาน (Associazione Calcio Milan) หรือที่รู้จักกันในนาม “รอสโซเนรี” ย่อมถูกยกขึ้นมาอย่างแน่นอน ตลอดเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ สโมสรแห่งนี้ไม่เพียงสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยถ้วยรางวัล แต่ยังสร้างตำนานนักเตะ ปรัชญาฟุตบอล และความผูกพันที่เหนียวแน่นกับแฟนบอล จุดกำเนิดของรอสโซเนรี เอซี มิลานก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1899 โดยกลุ่มชาวอังกฤษที่ทำงานในเมืองมิลาน นำโดย เฮอร์เบิร์ต คิลปิน (Herbert Kilpin) ทีมเลือกใช้สีแดงและดำเป็นสีหลัก โดยสีแดงหมายถึงไฟแห่งความหลงใหล และสีดำหมายถึงความน่าเกรงขามของคู่แข่ง สนามเหย้าของทีมคือ ซานซิโร (San Siro) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า สตาดิโอ จูเซปเป เมอัซซา ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมิลาน ยุคเริ่มต้นและการสร้างชื่อในอิตาลี ในช่วงศตวรรษแรก